ปัญหาการสูญเสียฟันเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในหลายด้าน ไม่เพียงแต่ความสวยงามและบุคลิกภาพ แต่ยังรวมถึงความสามารถในการบดเคี้ยวอาหาร การออกเสียง และสุขภาพช่องปากโดยรวม รากฟันเทียมเป็นทางเลือกการรักษาที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย รากฟันเทียมสามารถทดแทนฟันธรรมชาติได้เป็นอย่างดี และให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติทั้งในด้านรูปลักษณ์และการใช้งาน
- รากฟันเทียม คืออะไร?
- รากฟันเทียมทำมาจากอะไร
- ส่วนประกอบของรากฟันเทียม
- หลักการทำงานของรากฟันเทียม
- รากฟันเทียมเหมาะกับใคร
- ใครที่ไม่เหมาะจะทำรากฟันเทียม
- รากฟันเทียมช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง
- ข้อดีของการทำรากฟันเทียม
- ข้อเสียของการทำรากฟันเทียม
- ประเภทของรากฟันเทียม
- เปรียบเทียบระหว่าง รากฟันเทียม กับ สะพานฟัน, ฟันปลอมถอดได้ และ รักษารากฟัน แบบไหนดีกว่า
- เตรียมตัวอย่างไรก่อนไปทำรากฟันเทียม
- ขั้นตอนการทำรากฟันเทียม
- ระยะเวลาในการรักษา
- การปลูกกระดูกในการทำรากฟันเทียมคืออะไร?
- ใครที่ต้องปลูกกระดูกก่อนทำรากฟันเทียม?
- อาการหลังทำรากฟันเทียมที่อาจเกิดขึ้น
- การดูแลตัวเองหลังทำรากฟันเทียมเพื่อลดอาการ
- เมื่อใดควรไปพบทันตแพทย์
- ทำรากฟันเทียมที่ไหนดี?
- ตัวเลือกอื่นๆ นอกจากการทำรากฟันเทียม
- คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับรากฟันเทียม (FAQ)
รากฟันเทียม คืออะไร?

รากฟันเทียม คือ อุปกรณ์ทางทันตกรรมที่ทำหน้าที่เป็นรากฟันจำลองฝังในกระดูกขากรรไกร เพื่อยึดครอบฟันหรือฟันปลอมให้อยู่กับที่อย่างมั่นคง ช่วยแก้ปัญหาการบดเคี้ยวอาหารและทดแทนฟันที่ขาดหายไปได้โดยไม่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน
รากฟันเทียมทำมาจากอะไร
วัสดุหลักที่ใช้ในการผลิตรากฟันเทียมคือ ไทเทเนียม (Titanium) และในบางกรณีอาจใช้วัสดุ เซอร์โคเนีย (Zirconia) ซึ่งแต่ละวัสดุมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ดังนี้
1. ไทเทเนียม (Titanium) เป็นวัสดุที่นิยมใช้มากที่สุดในการผลิตรากฟันเทียม เนื่องจากมีคุณสมบัติที่โดดเด่นหลายประการ ดังนี้
- ความเข้ากันได้ทางชีวภาพ (Biocompatibility) ไทเทเนียมสามารถเข้ากันได้ดีกับเนื้อเยื่อของร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่ต่อต้านและยอมรับรากฟันเทียมได้ดี ส่งผลให้กระดูกสามารถยึดติดกับรากฟันเทียมได้อย่างแน่นหนาในกระบวนการที่เรียกว่า “ออสซีโออินทิเกรชั่น (Osseointegration)”
- ความแข็งแรงและความทนทาน ไทเทเนียมมีความแข็งแรงสูง ทนทานต่อแรงบดเคี้ยว และไม่ผุกร่อน ทำให้รากฟันเทียมสามารถใช้งานได้ยาวนาน
- น้ำหนักเบา ไทเทเนียมมีน้ำหนักเบา ทำให้ไม่รู้สึกหนักหรือรำคาญเมื่อนำไปใช้งาน
- ต้านทานการกัดกร่อน ไทเทเนียมมีความต้านทานการกัดกร่อนสูง ทำให้ไม่เป็นสนิมหรือผุกร่อนจากสภาพแวดล้อมในช่องปาก
โดยทั่วไปแล้ว ไทเทเนียมที่ใช้ทำรากฟันเทียมมักอยู่ในรูปแบบของ ไทเทเนียมบริสุทธิ์ (Commercially Pure Titanium) หรือ ไทเทเนียมอัลลอย (Titanium Alloy) ซึ่งมีการปรับปรุงคุณสมบัติบางประการเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานมากยิ่งขึ้น
2. เซอร์โคเนีย (Zirconia) เป็นวัสดุเซรามิกที่มีสีขาวคล้ายฟันธรรมชาติ ทำให้มีความสวยงาม เหมาะสำหรับใช้ในบริเวณฟันหน้า หรือในผู้ป่วยที่ต้องการหลีกเลี่ยงการใช้วัสดุโลหะ
คุณสมบัติเด่นของเซอร์โคเนีย
- ความสวยงาม มีสีขาวคล้ายฟันธรรมชาติ ทำให้ดูเป็นธรรมชาติเมื่ออยู่ในช่องปาก
- ความแข็งแรงและความทนทาน มีความแข็งแรงและทนทานใกล้เคียงกับไทเทเนียม
- ความเข้ากันได้ทางชีวภาพ มีความเข้ากันได้ทางชีวภาพที่ดีเช่นกัน
ส่วนประกอบของรากฟันเทียม
1. ส่วนรากฟันเทียม (Implant Body/Fixture) ส่วนนี้เป็นเสมือนรากฟันธรรมชาติ ทำหน้าที่ยึดติดกับกระดูกขากรรไกร
- วัสดุ ส่วนใหญ่ทำจากไทเทเนียมบริสุทธิ์ (Commercially Pure Titanium) หรือไทเทเนียมอัลลอย (Titanium Alloy) เนื่องจากไทเทเนียมมีคุณสมบัติที่เข้ากันได้ดีกับเนื้อเยื่อของร่างกาย (Biocompatibility) มีความแข็งแรง ทนทานต่อการกัดกร่อน และน้ำหนักเบา นอกจากนี้ ยังมีการใช้เซอร์โคเนีย (Zirconia) ซึ่งเป็นวัสดุเซรามิกสีขาว ในกรณีที่ต้องการความสวยงามเป็นพิเศษ เช่น รากฟันเทียมบริเวณฟันหน้า
- รูปร่างและขนาด มีหลากหลายรูปแบบ เช่น ทรงกระบอก ทรงเรียว ทรงสกรู และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางและความยาวแตกต่างกัน เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพกระดูกขากรรไกรและตำแหน่งของฟันที่สูญเสียไป ทันตแพทย์จะเลือกขนาดและรูปร่างที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย
- พื้นผิว พื้นผิวของรากฟันเทียมมักถูกออกแบบให้มีลักษณะหยาบ หรือมีการเคลือบผิวด้วยสารต่างๆ เช่น ไฮดรอกซีอะพาไทต์ (Hydroxyapatite) เพื่อเพิ่มพื้นที่สัมผัสกับกระดูก และส่งเสริมการยึดติดของกระดูกกับรากฟันเทียม (Osseointegration) ให้ดียิ่งขึ้น
- การออกแบบเกลียว เกลียวบนรากฟันเทียมมีบทบาทสำคัญในการยึดติดกับกระดูกและกระจายแรงบดเคี้ยว เกลียวที่แตกต่างกันมีผลต่อความมั่นคงของรากฟันเทียม
- การเชื่อมต่อภายใน (Internal Connection) ส่วนบนของรากฟันเทียมที่ใช้เชื่อมต่อกับตัวยึด (Abutment) มีการออกแบบที่แตกต่างกัน เช่น แบบ Internal Hex, Internal Tri-Lobe หรือ Conical Connection ซึ่งมีผลต่อความแข็งแรงและความแม่นยำในการเชื่อมต่อ
2. ตัวยึด (Abutment) ส่วนนี้เชื่อมระหว่างรากฟันเทียมกับครอบฟัน ทำหน้าที่รองรับครอบฟันและถ่ายทอดแรงบดเคี้ยว
- วัสดุ ทำจากวัสดุที่แข็งแรงและทนทาน เช่น ไทเทเนียม เซรามิก หรือเซอร์โคเนีย ซึ่งมีคุณสมบัติทางด้านความสวยงาม ความแข็งแรง และความทนทานที่แตกต่างกัน
- รูปร่างและประเภท มีหลากหลายรูปร่างและประเภท เช่น
- Stock Abutment เป็นตัวยึดสำเร็จรูป มีขนาดและรูปร่างมาตรฐาน
- Custom Abutment เป็นตัวยึดที่ออกแบบเฉพาะบุคคล เพื่อให้เข้ากับรูปร่างของเหงือกและฟันข้างเคียงได้อย่างแม่นยำ มักใช้ในกรณีที่ต้องการความสวยงามเป็นพิเศษ หรือในกรณีที่ตำแหน่งของรากฟันเทียมไม่เหมาะสม
- Angled Abutment เป็นตัวยึดที่มีมุมเอียง เพื่อแก้ไขกรณีที่รากฟันเทียมถูกฝังในมุมที่ไม่เหมาะสม
- การยึดติด ยึดติดกับรากฟันเทียมด้วยสกรูขนาดเล็ก (Abutment Screw) ซึ่งต้องขันให้แน่นด้วยแรงที่เหมาะสม (Torque) ตามที่ผู้ผลิตกำหนด เพื่อป้องกันการคลายตัว
- นอกจากเชื่อมต่อรากฟันเทียมกับครอบฟันแล้ว ตัวยึดยังมีบทบาทสำคัญในการกำหนดรูปร่างของเหงือกรอบๆ รากฟันเทียม ให้มีความสวยงามและเป็นธรรมชาติ
3. ครอบฟัน (Crown/Prosthesis) ส่วนที่มองเห็นได้ในช่องปาก มีลักษณะเหมือนฟันธรรมชาติ ทำหน้าที่บดเคี้ยวอาหาร
- วัสดุ ทำจากวัสดุหลากหลาย เช่น เซรามิกล้วน (All-Ceramic/Porcelain), โลหะเคลือบเซรามิก (Porcelain-Fused-to-Metal/PFM) หรือ เซอร์โคเนีย (Zirconia)
- การยึดติด ยึดติดกับตัวยึดด้วยซีเมนต์ทางทันตกรรม มีทั้งแบบยึดติดถาวรและแบบถอดได้ (Screw-retained)
- การออกแบบ ครอบฟันจะถูกออกแบบให้มีรูปร่าง ขนาด สี และการสบฟันที่เหมาะสมกับฟันข้างเคียง เพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติและใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลักการทำงานของรากฟันเทียม
เมื่อรากฟันเทียมถูกฝังลงในกระดูกขากรรไกร จะเกิดกระบวนการ ออสซีโออินทิเกรชัน (Osseointegration) คือการที่กระดูกเชื่อมประสานเข้ากับพื้นผิวของรากฟันเทียมอย่างแนบสนิท ทำให้รากฟันเทียมยึดติดแน่นกับกระดูก สามารถรองรับแรงบดเคี้ยวได้เหมือนรากฟันแท้ โดยใช้เวลาในการผสานประมาณ 3-6 เดือน จึงจะใส่ครอบฟันได้
รากฟันเทียมเหมาะกับใคร
- ผู้ที่สูญเสียฟันไป 1 ซี่ขึ้นไป ไม่ว่าจะจากสาเหตุใดก็ตาม
- มีสภาพกระดูกขากรรไกรเพียงพอ หรือสามารถเสริมกระดูกได้
- ไม่มีโรคประจำตัวรุนแรงที่เป็นอุปสรรคต่อการผ่าตัด
- ไม่สูบบุหรี่จัด เพราะจะรบกวนการหายของแผล
ใครที่ไม่เหมาะจะทำรากฟันเทียม
- ผู้ที่มีโรคเรื้อรังที่ยังควบคุมไม่ได้ดี เช่น เบาหวาน, โรคหัวใจ
- ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังให้เคมีบำบัด
- หญิงตั้งครรภ์ เพราะเอ็กซเรย์และยาชาอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์
- เด็กที่กระดูกขากรรไกรยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่
รากฟันเทียมช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง

รากฟันเทียมไม่ได้เป็นเพียงแค่การทดแทนฟันที่หายไปเพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่ยังช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ในช่องปากและส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวมอีกด้วย ดังนี้
- ทดแทนฟันที่สูญเสียไป นี่คือหน้าที่หลักของรากฟันเทียม ซึ่งช่วยทดแทนฟันธรรมชาติที่สูญเสียไปจากสาเหตุต่างๆ เช่น ฟันผุ โรคเหงือก อุบัติเหตุ หรือการถอนฟัน ทำให้ผู้ที่สูญเสียฟันกลับมามีฟันที่ใช้งานได้เหมือนเดิม
- แก้ปัญหาการบดเคี้ยวอาหาร การสูญเสียฟันส่งผลโดยตรงต่อการบดเคี้ยวอาหาร ทำให้เคี้ยวอาหารได้ไม่ละเอียด ส่งผลเสียต่อระบบย่อยอาหาร รากฟันเทียมช่วยให้สามารถบดเคี้ยวอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ได้รับสารอาหารครบถ้วนและลดปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร
- ป้องกันโอกาสเกิดฟันล้ม เมื่อสูญเสียฟันไป ฟันข้างเคียงมีแนวโน้มที่จะล้มเอียงหรือเคลื่อนที่เข้ามาในช่องว่าง ทำให้เกิดปัญหาการเรียงตัวของฟัน การสบฟันผิดปกติ และปัญหาอื่นๆ รากฟันเทียมช่วยรักษาระยะห่างระหว่างฟัน ทำให้ฟันข้างเคียงคงที่และป้องกันปัญหาที่จะตามมา
- ป้องกันการยุบตัวของกระดูกขากรรไกร เมื่อสูญเสียฟันไป กระดูกขากรรไกรบริเวณนั้นจะเริ่มยุบตัวลง เนื่องจากไม่มีรากฟันคอยกระตุ้น การฝังรากฟันเทียมจะช่วยกระตุ้นกระดูกขากรรไกร ทำให้กระดูกคงรูปอยู่ได้ ป้องกันการยุบตัวของกระดูก ซึ่งมีผลต่อรูปหน้าและโครงสร้างของใบหน้า
- เพิ่มความมั่นใจและบุคลิกภาพ การสูญเสียฟันโดยเฉพาะฟันหน้า ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจและบุคลิกภาพ รากฟันเทียมช่วยคืนรอยยิ้มที่สวยงามและความมั่นใจ ทำให้กล้าแสดงออกและใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข
- รองรับฟันปลอมรูปแบบต่างๆ นอกจากใช้ทดแทนฟันซี่เดียว รากฟันเทียมยังสามารถใช้รองรับฟันปลอมแบบติดแน่น เช่น สะพานฟัน หรือฟันปลอมแบบถอดได้ ทำให้ฟันปลอมมีความมั่นคงมากขึ้น ไม่เคลื่อนที่ขณะใช้งาน
- แก้ปัญหาการออกเสียงไม่ชัด การสูญเสียฟันบางซี่อาจส่งผลต่อการออกเสียงบางคำ รากฟันเทียมช่วยฟื้นฟูการออกเสียงให้ชัดเจนและเป็นธรรมชาติมากขึ้น
ข้อดีของการทำรากฟันเทียม
- ความมั่นคงและใช้งานได้เหมือนฟันธรรมชาติ รากฟันเทียมยึดติดกับกระดูกขากรรไกรโดยตรง ทำให้มีความมั่นคงสูง สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ตามปกติ ให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ และไม่ขยับหรือหลุดเหมือนฟันปลอมถอดได้
- รักษาสภาพฟันข้างเคียง การทำรากฟันเทียมไม่จำเป็นต้องกรอฟันซี่ข้างเคียงเหมือนกับการทำสะพานฟัน ทำให้ไม่ส่งผลเสียต่อฟันธรรมชาติ และรักษาสภาพฟันเดิมไว้ได้
- ป้องกันการสูญเสียกระดูก เมื่อสูญเสียฟัน กระดูกบริเวณนั้นจะเริ่มยุบตัวลง การทำรากฟันเทียมจะช่วยกระตุ้นกระดูกขากรรไกร ทำให้กระดูกคงสภาพและป้องกันการยุบตัว ซึ่งมีผลต่อโครงสร้างใบหน้าในระยะยาว
- ความสวยงามและความมั่นใจ รากฟันเทียมช่วยทดแทนฟันที่สูญเสียไป ทำให้ฟันเรียงตัวสวยงาม เพิ่มความมั่นใจในการยิ้มและพูด
- สุขอนามัยช่องปากที่ดี รากฟันเทียมสามารถทำความสะอาดได้ง่ายเหมือนฟันธรรมชาติ ลดความเสี่ยงของฟันผุและโรคเหงือก
- ใช้งานได้ยาวนาน หากดูแลรักษาอย่างเหมาะสม รากฟันเทียมสามารถใช้งานได้ยาวนานหลายปี หรือตลอดชีวิต
- ปรับปรุงการออกเสียง การสูญเสียฟันอาจส่งผลต่อการออกเสียงบางคำ รากฟันเทียมช่วยแก้ไขปัญหาการออกเสียงให้ชัดเจนขึ้น
- ใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ ได้ สามารถใช้รากฟันเทียมร่วมกับการรักษาอื่นๆ เช่น สะพานฟัน หรือฟันปลอมแบบติดแน่น เพื่อเพิ่มความมั่นคง
ข้อเสียของการทำรากฟันเทียม
- ค่าใช้จ่ายสูง การทำรากฟันเทียมมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ เช่น ฟันปลอมถอดได้ หรือสะพานฟัน
- ระยะเวลารักษานาน การทำรากฟันเทียมต้องใช้เวลาหลายเดือน เนื่องจากต้องรอให้รากฟันเทียมยึดติดกับกระดูกขากรรไกร (กระบวนการออสซีโออินทิเกรชั่น)
- ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อน แม้ว่ารากฟันเทียมจะเป็นวิธีการรักษาที่ปลอดภัย แต่ก็มีความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น
- การติดเชื้อ บริเวณที่ผ่าตัดอาจมีการติดเชื้อได้ หากดูแลรักษาความสะอาดไม่ดี
- การบาดเจ็บของเส้นประสาท ในบางกรณี อาจมีการบาดเจ็บของเส้นประสาทบริเวณใกล้เคียง ทำให้เกิดอาการชาหรือเจ็บ
- การผสานกระดูกไม่สำเร็จ ในบางกรณี รากฟันเทียมอาจไม่สามารถผสานเข้ากับกระดูกได้ ซึ่งอาจต้องทำการผ่าตัดใหม่
- ปัญหาเกี่ยวกับไซนัส ในกรณีที่ทำรากฟันเทียมบริเวณฟันกรามบน อาจมีปัญหาเกี่ยวกับไซนัสได้
- ข้อจำกัดบางประการ การทำรากฟันเทียมอาจไม่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยบางราย เช่น ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ โรคกระดูกพรุน หรือผู้ที่สูบบุหรี่จัด รวมถึงผู้ที่มีปริมาณกระดูกขากรรไกรไม่เพียงพอ ซึ่งอาจต้องทำการปลูกกระดูกก่อน
ประเภทของรากฟันเทียม

1. แบ่งตามตำแหน่งของการทำรากฟันเทียม การแบ่งประเภทนี้พิจารณาจากตำแหน่งที่รากฟันเทียมถูกฝัง ซึ่งมีผลต่อเทคนิคและวิธีการรักษา รวมถึงความเหมาะสมกับสภาพกระดูกของผู้ป่วย
- รากฟันเทียมชนิดฝังลงในกระดูก (Endosteal Implants) เป็นรากฟันเทียมที่นิยมใช้มากที่สุด โดยจะฝังลงในกระดูกขากรรไกรโดยตรง มีลักษณะคล้ายสกรูหรือน็อต ทำจากไทเทเนียม ซึ่งเข้ากันได้ดีกับเนื้อเยื่อของร่างกาย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปริมาณกระดูกขากรรไกรเพียงพอรองรับรากฟันเทียมได้ดี สามารถใช้ทดแทนฟันเดี่ยว ฟันหลายซี่ หรือฟันทั้งปาก
- รากฟันเทียมชนิดวางอยู่เหนือกระดูก (Subperiosteal Implants) เป็นรากฟันเทียมที่วางอยู่บนกระดูกขากรรไกร แต่ใต้เยื่อหุ้มกระดูก (Periosteum) โครงสร้างของรากฟันเทียมชนิดนี้จะถูกออกแบบมาเฉพาะบุคคล โดยจะพิมพ์แบบจากกระดูกขากรรไกรของผู้ป่วย มักใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีปริมาณกระดูกขากรรไกรไม่เพียงพอสำหรับการฝังรากฟันเทียมแบบ Endosteal หรือในผู้ที่ไม่ต้องการปลูกกระดูก
- รากฟันเทียมชนิดฝังลงในกระดูกโหนกแก้ม (Zygomatic Implants) เป็นรากฟันเทียมที่มีลักษณะยาวกว่ารากฟันเทียมทั่วไป ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีการสูญเสียกระดูกขากรรไกรบนอย่างรุนแรง ทำให้ไม่สามารถฝังรากฟันเทียมแบบ Endosteal ในตำแหน่งปกติได้ รากฟันเทียมชนิดนี้จะฝังเข้าไปในกระดูกโหนกแก้ม (Zygoma bone) ซึ่งมีความแข็งแรงและรองรับแรงบดเคี้ยวได้ดี เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการปลูกกระดูกเพิ่มเติม
2. แบ่งตามจำนวนรากฟันเทียมที่ใส่ในช่องปาก การแบ่งประเภทนี้พิจารณาจากจำนวนฟันที่ต้องการทดแทน และวิธีการรองรับฟันปลอมบนรากฟันเทียม
- รากฟันเทียมเดี่ยว (Single Tooth Implant) ใช้ทดแทนฟันที่หายไปเพียงซี่เดียว โดยจะฝังรากฟันเทียมหนึ่งตัวและใส่ครอบฟันหนึ่งซี่ วิธีนี้จะช่วยรักษาสภาพของฟันข้างเคียงโดยไม่ต้องกรอฟันเพื่อทำสะพานฟัน
- รากฟันเทียมหลายซี่ (Multiple Implants/Implant-Supported Bridge) ใช้ทดแทนฟันที่หายไปหลายซี่ที่อยู่ติดกัน โดยจะฝังรากฟันเทียมจำนวนหนึ่งเพื่อรองรับสะพานฟัน ซึ่งจะครอบคลุมฟันที่หายไปหลายซี่ จำนวนรากฟันเทียมที่ใช้จะขึ้นอยู่กับจำนวนฟันที่หายไปและตำแหน่งของฟัน
- รากฟันเทียมทั้งปาก (Full Arch Implants/All-on-4/All-on-6) ใช้ทดแทนฟันทั้งขากรรไกรบนหรือล่าง โดยจะฝังรากฟันเทียมจำนวนหนึ่ง (เช่น 4 หรือ 6 ตัว ในเทคนิค All-on-4 หรือ All-on-6) เพื่อรองรับฟันปลอมทั้งชุด วิธีนี้เป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีความมั่นคง ให้ความรู้สึกใกล้เคียงฟันธรรมชาติ และลดระยะเวลาในการรักษาเมื่อเทียบกับการฝังรากฟันเทียมทดแทนทุกซี่
3. แบ่งตามระยะเวลาที่ใช้ในการทำรากฟันเทียม การแบ่งประเภทนี้พิจารณาจากระยะเวลาตั้งแต่การฝังรากฟันเทียมจนถึงการใส่ครอบฟันหรือฟันปลอม
- การฝังรากฟันเทียมแบบดั้งเดิม (Conventional Implant/Delayed Loading) เป็นวิธีที่ใช้กันมาอย่างยาวนาน โดยจะมีการรอระยะเวลาประมาณ 2-6 เดือน หลังจากการฝังรากฟันเทียม เพื่อให้กระดูกยึดติดกับรากฟันเทียมอย่างสมบูรณ์ (Osseointegration) ก่อนที่จะใส่ตัวยึดและครอบฟัน วิธีนี้มีอัตราความสำเร็จสูง แต่ต้องใช้เวลานาน
- การฝังรากฟันเทียมทันทีหลังถอนฟัน (Immediate Implant/Immediate Placement) เป็นการใส่รากฟันเทียมทันทีหลังจากถอนฟัน ซึ่งช่วยลดระยะเวลาในการรักษา และลดการยุบตัวของกระดูกหลังการถอนฟัน แต่ต้องมีสภาพกระดูกและเหงือกที่เหมาะสม
- รากฟันเทียมในหนึ่งวัน (Immediate Loaded Implant/Same Day Teeth) เป็นการใส่รากฟันเทียมและครอบฟันชั่วคราวหรือถาวรในวันเดียวกันหรือภายในระยะเวลาอันสั้นหลังจากการฝังรากฟันเทียม วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีสภาพกระดูกที่ดีและมีแรงบิดที่เพียงพอต่อการรองรับครอบฟันทันที ช่วยลดระยะเวลาในการรักษา และให้ผู้ป่วยมีฟันใช้งานได้ทันที แต่ต้องได้รับการประเมินโดยทันตแพทย์อย่างละเอียดก่อน
การแบ่งประเภทเหล่านี้จะช่วยให้เข้าใจภาพรวมของรากฟันเทียมได้ดียิ่งขึ้น การเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุด ควรปรึกษาทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล
เปรียบเทียบระหว่าง รากฟันเทียม กับ สะพานฟัน, ฟันปลอมถอดได้ และ รักษารากฟัน แบบไหนดีกว่า
คุณลักษณะ | รากฟันเทียม | สะพานฟัน | ฟันปลอมถอดได้ | การรักษารากฟัน |
หลักการ | ฝังรากเทียมลงในกระดูกขากรรไกร | ยึดฟันปลอมกับฟันข้างเคียงโดยการกรอฟัน | ใส่ฟันปลอมบนเหงือก | รักษาโพรงประสาทฟันเพื่อเก็บฟันธรรมชาติไว้ |
ความมั่นคง | สูงมาก | ปานกลาง | น้อย | (ขึ้นอยู่กับสภาพฟัน) |
ความสะดวกสบาย | สูงมาก | ปานกลาง | น้อย (ต้องถอดเข้าถอดออก) | สูง |
การดูแลรักษา | ง่าย (เหมือนฟันธรรมชาติ) | ปานกลาง (ทำความสะอาดยากบริเวณใต้สะพานฟัน) | ปานกลาง (ต้องถอดออกมาทำความสะอาด) | ง่าย (เหมือนฟันธรรมชาติ) |
ผลกระทบต่อฟันอื่นๆ | ไม่กระทบ | ต้องกรอฟันข้างเคียง | อาจทำให้กระดูกขากรรไกรยุบตัวในระยะยาว | ไม่กระทบ |
ค่าใช้จ่าย | สูง | ปานกลาง | ต่ำ | ต่ำกว่ารากฟันเทียม |
ระยะเวลารักษา | นาน (หลายเดือน) | ปานกลาง (ไม่กี่สัปดาห์) | สั้น (ไม่กี่วัน) | สั้น (ไม่กี่ครั้ง) |
อายุการใช้งาน | ยาวนาน (หลายปีหรือตลอดชีวิต หากดูแลดี) | ปานกลาง (5-10 ปี) | ปานกลาง (5-10 ปี) | (ขึ้นอยู่กับสภาพฟัน) |
ความเหมาะสม | ผู้ที่ต้องการความมั่นคงและใช้งานได้ยาวนาน | ผู้ที่มีงบประมาณจำกัดและฟันข้างเคียงแข็งแรง | ผู้ที่มีงบประมาณจำกัดหรือข้อจำกัดอื่นๆ | ผู้ที่มีฟันที่ยังสามารถรักษาได้ |
เตรียมตัวอย่างไรก่อนไปทำรากฟันเทียม
- ปรึกษาแพทย์และทันตแพทย์ ขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุด คือการปรึกษาแพทย์ประจำตัวเพื่อประเมินสุขภาพโดยรวม และปรึกษาทันตแพทย์เฉพาะทางด้านรากฟันเทียม เพื่อประเมินสภาพช่องปาก วางแผนการรักษา และรับคำแนะนำที่เหมาะสม การปรึกษาแพทย์จะช่วยให้ทราบถึงโรคประจำตัว ยาที่รับประทาน และความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น การปรึกษาทันตแพทย์จะช่วยประเมินสภาพกระดูก สุขภาพเหงือก และความเหมาะสมในการทำรากฟันเทียม รวมถึงวางแผนการรักษา เช่น การปลูกกระดูก หากจำเป็น
- แจ้งประวัติการแพ้ยา แจ้งประวัติการแพ้ยาหรือสารเคมีทุกชนิดให้ทันตแพทย์ทราบ เพื่อป้องกันการแพ้ยาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างหรือหลังการผ่าตัด การแพ้ยาอาจทำให้เกิดอาการแพ้ต่างๆ เช่น ผื่นคัน บวม หรือหายใจลำบาก ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้
- งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ควร งดสูบบุหรี่อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ก่อนและหลังการผ่าตัด เนื่องจาก การสูบบุหรี่ส่งผลเสียต่อการไหลเวียนโลหิต ทำให้การผสานของรากฟันเทียมกับกระดูกไม่ดี และเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ควรงดอย่างน้อย 1-2 วันก่อนผ่าตัด เนื่องจากอาจมีปฏิกิริยากับยาที่ใช้ หรือส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด
- ดูแลความสะอาดช่องปากอย่างเคร่งครัด แปรงฟันอย่างน้อยวันละสองครั้ง ใช้ไหมขัดฟันทุกวัน และบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก การดูแลความสะอาดช่องปากที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อหลังการผ่าตัด และส่งผลดีต่อการผสานของรากฟันเทียมกับกระดูก หากมีปัญหาในช่องปาก เช่น ฟันผุ หรือโรคเหงือก ควรทำการรักษาก่อนการทำรากฟันเทียม เพื่อป้องกันการลุกลามของการติดเชื้อ
- ทำความเข้าใจขั้นตอนการรักษาและพักผ่อนให้เพียงพอ สอบถามทันตแพทย์เกี่ยวกับขั้นตอนการทำรากฟันเทียมอย่างละเอียด เพื่อลดความกังวลและความกลัว การทราบขั้นตอนการรักษาจะช่วยให้เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น และลดความกังวลที่ไม่จำเป็น ก่อนวันผ่าตัด ควรพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายพร้อมสำหรับการรักษา การพักผ่อนที่เพียงพอจะช่วยลดความเครียดและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และเตรียมอาหารอ่อน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และให้พลังงานเพียงพอก่อนวันผ่าตัด แต่หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด เผ็ดจัด หรืออาหารที่อาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย ร่างกายที่แข็งแรงจะช่วยให้การฟื้นตัวหลังการผ่าตัดเป็นไปได้ด้วยดี ควรเตรียมอาหารอ่อนๆ เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม หรือซุป ไว้สำหรับรับประทานหลังการผ่าตัดในช่วงแรก เนื่องจากในช่วงแรกหลังการผ่าตัด อาจมีอาการเจ็บหรือบวม ทำให้รับประทานอาหารลำบาก
- ทำความสะอาดช่องปากก่อนมาพบทันตแพทย์ แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันให้สะอาดก่อนมาพบทันตแพทย์
ขั้นตอนการทำรากฟันเทียม

การทำรากฟันเทียมเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี โดยทั่วไปแล้ว แบ่งออกเป็นขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
- การตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษา
- การตรวจสุขภาพช่องปาก ทันตแพทย์จะทำการตรวจสุขภาพช่องปากอย่างละเอียด ตรวจดูฟัน เหงือก กระดูกขากรรไกร และประเมินความเหมาะสมในการทำรากฟันเทียม
- การถ่ายภาพรังสี มีการถ่ายภาพรังสีแบบต่างๆ เช่น ภาพเอ็กซ์เรย์ทั่วไป ภาพพาโนรามา (Panoramic X-ray) หรือภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบ 3 มิติ (CBCT หรือ CT Scan) เพื่อดูรายละเอียดของกระดูกขากรรไกร และประเมินปริมาณและคุณภาพของกระดูก
- การพิมพ์ปาก อาจมีการพิมพ์ปากเพื่อทำแบบจำลองฟัน เพื่อใช้ในการวางแผนการรักษาและการผลิตครอบฟัน
- การวางแผนการรักษา ทันตแพทย์จะวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย โดยพิจารณาจากสภาพช่องปาก สุขภาพโดยรวม และความต้องการของผู้ป่วย
- การผ่าตัดฝังรากฟันเทียม
- การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด ทันตแพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเตรียมตัวก่อนผ่าตัด เช่น การงดยาบางชนิด การงดสูบบุหรี่ และการดูแลความสะอาดช่องปาก
- การผ่าตัด ทันตแพทย์จะทำการผ่าตัดเล็กเพื่อฝังรากฟันเทียมลงในกระดูกขากรรไกร โดยใช้วัสดุไทเทเนียมที่มีความเข้ากันได้ดีกับเนื้อเยื่อ ขั้นตอนนี้มักทำภายใต้การใช้ยาชาเฉพาะที่
- การปิดแผล หลังจากฝังรากฟันเทียมแล้ว ทันตแพทย์จะทำการเย็บปิดแผล
- ระยะเวลาการผสานกระดูก (Osseointegration)
- การรอรากฟันเทียมยึดติดกับกระดูก หลังจากผ่าตัดฝังรากฟันเทียมแล้ว จะต้องใช้เวลาระยะหนึ่งเพื่อให้กระดูกขากรรไกรผสานเข้ากับรากฟันเทียมอย่างสมบูรณ์ กระบวนการนี้เรียกว่า ออสซีโออินทิเกรชั่น (Osseointegration) โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 2-6 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพกระดูกของผู้ป่วยแต่ละราย
- การใส่ส่วนประกอบบนรากฟันเทียม (Abutment Placement)
- การเปิดเหงือก (ถ้าจำเป็น) ในบางกรณี หากรากฟันเทียมถูกฝังแบบปิดเหงือก (ฝังใต้เหงือก) ทันตแพทย์จะต้องทำการผ่าตัดเล็กอีกครั้งเพื่อเปิดเหงือกและใส่ส่วนประกอบที่เรียกว่า อะบัทเมนต์ (Abutment) ซึ่งเป็นส่วนที่เชื่อมระหว่างรากฟันเทียมและครอบฟัน
- การใส่ Abutment ทันตแพทย์จะทำการใส่ Abutment ลงบนรากฟันเทียม
- การทำและการใส่ครอบฟัน
- การพิมพ์ปาก ทันตแพทย์จะทำการพิมพ์ปากอีกครั้ง เพื่อส่งไปยังห้องปฏิบัติการทันตกรรมเพื่อผลิตครอบฟัน
- การทำครอบฟัน ในห้องปฏิบัติการทันตกรรม ช่างทันตกรรมจะทำครอบฟันให้มีรูปร่าง สี และขนาดที่เหมาะสมกับฟันซี่อื่นๆ และเข้ากับช่องปากของผู้ป่วย
- การใส่ครอบฟัน เมื่อครอบฟันเสร็จ ทันตแพทย์จะทำการยึดครอบฟันเข้ากับ Abutment อย่างถาวร
ระยะเวลาในการรักษา
ระยะเวลาในการทำรากฟันเทียมทั้งหมด ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น สภาพกระดูกของผู้ป่วย จำนวนรากฟันเทียมที่ทำ และวิธีการรักษา โดยทั่วไปอาจใช้เวลาตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 1 ปี หรือมากกว่า
การปลูกกระดูกในการทำรากฟันเทียมคืออะไร?
การปลูกกระดูกฟัน หรือการเสริมกระดูก เป็นกระบวนการทางทันตกรรมที่ใช้ในการเพิ่มปริมาณกระดูกขากรรไกร เพื่อให้มีปริมาณกระดูกเพียงพอต่อการรองรับรากฟันเทียม การทำรากฟันเทียมจำเป็นต้องมีกระดูกขากรรไกรที่แข็งแรงและมีปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้รากฟันเทียมสามารถยึดติดได้อย่างมั่นคงและใช้งานได้อย่างยาวนาน หากกระดูกขากรรไกรไม่เพียงพอหรือไม่แข็งแรง การทำรากฟันเทียมอาจไม่สำเร็จหรือใช้งานได้ไม่นาน
ใครที่ต้องปลูกกระดูกก่อนทำรากฟันเทียม?
- ผู้ที่สูญเสียฟันมาเป็นเวลานาน
- ผู้ที่เคยเป็นโรคปริทันต์
- ผู้ที่กระดูกขากรรไกรบางโดยธรรมชาติ
- ผู้ที่ใส่ฟันปลอมแบบถอดได้มาเป็นเวลานาน
วัสดุที่ใช้ในการปลูกกระดูกมีหลายประเภท ได้แก่
- กระดูกจากร่างกายของผู้ป่วยเอง (Autograft) มักนำมาจากบริเวณอื่น เช่น ขากรรไกร กราม หรือสะโพก ถือเป็นวัสดุที่ดีที่สุด เพราะมีความเข้ากันได้ดีกับร่างกาย
- กระดูกจากผู้อื่น (Allograft) เป็นกระดูกที่ได้รับบริจาคและผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อแล้ว
- กระดูกจากสัตว์ (Xenograft) มักใช้กระดูกวัวที่ผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์
- วัสดุสังเคราะห์ (Alloplast) เป็นวัสดุที่สร้างขึ้นจากสารเคมี เช่น ไฮดรอกซีอะพาไทต์ (Hydroxyapatite) หรือไตรแคลเซียมฟอสเฟต (Tricalcium phosphate)
การปลูกกระดูกเป็นขั้นตอนที่สำคัญสำหรับผู้ที่มีปริมาณกระดูกขากรรไกรไม่เพียงพอต่อการทำรากฟันเทียม หลังปลูกกระดูกต้องใช้เวลาประมาณ 3-9 เดือนเพื่อให้กระดูกใหม่สร้างตัวและผสานกับกระดูกเดิม ก่อนที่จะสามารถทำรากฟันเทียมได้ ในบางกรณีสามารถปลูกกระดูกไปพร้อมๆ กับการทำรากฟันเทียมได้ โดยขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์
อาการหลังทำรากฟันเทียมที่อาจเกิดขึ้น

หลังการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม ผู้ป่วยอาจพบกับอาการต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาการปกติและจะค่อยๆ ดีขึ้นภายในไม่กี่วัน แต่ก็มีบางอาการที่ควรได้รับการดูแลจากทันตแพทย์อย่างใกล้ชิด อาการที่อาจเกิดขึ้นมีดังนี้
- อาการปวด อาการปวดเป็นเรื่องปกติหลังการผ่าตัด โดยความรุนแรงของอาการปวดจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ทันตแพทย์มักจะสั่งยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการ ผู้ป่วยควรรับประทานยาตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด หากอาการปวดไม่ดีขึ้น หรือปวดมากขึ้น ควรกลับไปพบทันตแพทย์
- อาการบวม บริเวณที่ทำการผ่าตัดอาจมีอาการบวม ซึ่งเป็นปฏิกิริยาปกติของร่างกายต่อการผ่าตัด อาการบวมมักจะมากที่สุดในช่วง 2-3 วันแรก และจะค่อยๆ ลดลงภายใน 1 สัปดาห์ การประคบเย็นบริเวณแก้มในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกหลังการผ่าตัด จะช่วยลดอาการบวมได้ การประคบอุ่นหลังจากนั้นจะช่วยลดอาการฟกช้ำได้
- เลือดออกเล็กน้อย อาจมีเลือดออกเล็กน้อยบริเวณแผลผ่าตัดในวันแรกหลังการผ่าตัด ถือเป็นเรื่องปกติ สามารถใช้ผ้าก๊อซสะอาดกัดไว้บริเวณแผลประมาณ 15-30 นาที เพื่อช่วยห้ามเลือด หากมีเลือดออกมากผิดปกติ หรือเลือดออกไม่หยุด ควรปรึกษาทันตแพทย์
- รอยช้ำ อาจมีรอยช้ำบริเวณแก้มหรือใต้ตา ซึ่งเป็นผลมาจากการผ่าตัด รอยช้ำนี้จะค่อยๆ จางหายไปภายใน 1-2 สัปดาห์
- รู้สึกตึงหรือเจ็บที่ขากรรไกร อาจรู้สึกตึงหรือเจ็บที่ขากรรไกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออ้าปากกว้าง ซึ่งเป็นผลมาจากการผ่าตัด การพักผ่อนและหลีกเลี่ยงการอ้าปากกว้างมากเกินไปในช่วงแรก จะช่วยลดอาการนี้ได้
- การติดเชื้อ การติดเชื้อเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้น้อย แต่ควรระมัดระวัง หากมีอาการปวด บวม แดง หรือมีหนองบริเวณแผลผ่าตัด หรือมีไข้ ควรกลับไปพบทันตแพทย์ทันทีเพื่อรับการรักษา
- อาการชา ในบางกรณี อาจมีอาการชาบริเวณริมฝีปาก คาง หรือเหงือก ซึ่งมักเกิดจากการกระทบกระเทือนของเส้นประสาทระหว่างการผ่าตัด อาการชานี้มักจะหายไปเองภายในไม่กี่สัปดาห์หรือหลายเดือน แต่ในบางกรณีอาจต้องใช้เวลานานกว่านั้น
การดูแลตัวเองหลังทำรากฟันเทียมเพื่อลดอาการ
- ประคบเย็น-ประคบอุ่น ประคบเย็นบริเวณแก้มในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกหลังการผ่าตัด เพื่อลดอาการบวม หลังจากนั้นให้ประคบอุ่น เพื่อลดอาการฟกช้ำ
- รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง รับประทานยาแก้ปวด ยาปฏิชีวนะ หรือยาอื่นๆ ตามที่ทันตแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
- พักผ่อนให้เพียงพอ พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็ว
- รับประทานอาหารอ่อน ในช่วงแรกหลังการผ่าตัด ควรรับประทานอาหารอ่อนๆ เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม หรือซุป เพื่อหลีกเลี่ยงการเคี้ยวอาหารที่แข็งหรือเหนียว ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองบริเวณแผล
- หลีกเลี่ยงการบ้วนปากแรงๆ หลีกเลี่ยงการบ้วนปากแรงๆ ในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังการผ่าตัด ควรบ้วนปากเบาๆ ด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ
- รักษาความสะอาดช่องปาก รักษาความสะอาดช่องปากอย่างดี โดยแปรงฟันเบาๆ และใช้ไหมขัดฟันตามปกติ แต่หลีกเลี่ยงบริเวณแผลผ่าตัดโดยตรง
- งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ควรงดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้แผลหายช้าและเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก ในช่วง 2-3 วันแรกหลังการผ่าตัด ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก
เมื่อใดควรไปพบทันตแพทย์
- อาการปวด บวม หรือเลือดออกมากขึ้น หรือไม่ดีขึ้นภายในไม่กี่วัน
- มีอาการของการติดเชื้อ เช่น มีหนองบริเวณแผลผ่าตัด หรือมีไข้
- มีอาการชาที่ไม่หายไป
- มีอาการผิดปกติอื่นๆ ที่น่าสงสัย
ทำรากฟันเทียมที่ไหนดี?
การเลือกว่าจะทำรากฟันเทียมที่ไหนดี เป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะมีผลต่อความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และผลลัพธ์ของการรักษา มีปัจจัยหลายประการที่ควรนำมาพิจารณา ดังนี้
- ปรึกษาทันตแพทย์โดยตรง ควรเลือกทันตแพทย์ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการทำรากฟันเทียมโดยเฉพาะ ควรตรวจสอบประวัติการศึกษา การฝึกอบรม และจำนวนเคสที่เคยทำ
- คลินิกหรือโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐาน คลินิกหรือโรงพยาบาลควรมีระบบการควบคุมความสะอาดและปลอดเชื้อที่ดี เพื่อป้องกันการติดเชื้อหลังการผ่าตัด มีอุปกรณ์และเครื่องมือที่ทันสมัย เช่น เครื่องเอกซเรย์ 3 มิติ (CBCT) เครื่องมือผ่าตัดที่แม่นยำ และวัสดุรากฟันเทียมที่มีคุณภาพ
- วัสดุรากฟันเทียม ควรเลือกใช้วัสดุรากฟันเทียมที่มีคุณภาพและได้รับการยอมรับในระดับสากล มีงานวิจัยรองรับ และมีประวัติการใช้งานที่ยาวนาน และตรวจสอบแหล่งที่มาของวัสดุรากฟันเทียม เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นของแท้และมีคุณภาพ
- ราคาที่สมเหตุสมผล ควรเปรียบเทียบราคาและบริการของแต่ละคลินิกหรือโรงพยาบาล โดยคำนึงถึงคุณภาพของวัสดุ ประสบการณ์ของทันตแพทย์ และมาตรฐานของคลินิกหรือโรงพยาบาล
- การบริการและบรรยากาศที่เป็นมิตร การให้คำปรึกษาที่ละเอียดและเข้าใจง่ายจากทันตแพทย์ การบริการที่ดีและเป็นกันเองจากเจ้าหน้าที่ บรรยากาศที่สะอาด สะดวกสบาย และผ่อนคลาย
- รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง สอบถามประสบการณ์จากผู้ที่เคยใช้บริการคลินิกหรือโรงพยาบาลนั้นๆ หรือรีวิวออนไลน์จากเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจ
- ที่ตั้งสะดวกต่อการเดินทาง กคลินิกหรือโรงพยาบาลตั้งอยู่ในที่ที่สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกและมีที่จอดรถ หากต้องไปติดตามผลการรักษาหลายครั้ง การเลือกสถานที่ใกล้บ้านหรือที่ทำงานจะช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย


ตัวเลือกอื่นๆ นอกจากการทำรากฟันเทียม
- สะพานฟัน เป็นการทดแทนฟันที่สูญเสียไปโดยการยึดฟันปลอมเข้ากับฟันธรรมชาติซี่ข้างเคียงโดยการกรอฟันซี่นั้น ค่าใช้จ่ายต่ำกว่ารากฟันเทียมและใช้เวลารักษาน้อยกว่า แต่ต้องกรอฟันธรรมชาติและทำความสะอาดยาก
- ฟันปลอมถอดได้ เป็นการใส่ฟันปลอมบนเหงือกโดยไม่มีการฝังรากเทียม ค่าใช้จ่ายต่ำ ทำได้ง่ายและรวดเร็ว แต่มีความมั่นคงน้อยและอาจรู้สึกไม่สบาย
- การรักษารากฟัน เป็นการรักษาฟันที่ยังมีอยู่แต่มีปัญหาที่โพรงประสาทฟัน เพื่อเก็บฟันธรรมชาติไว้ได้ ค่าใช้จ่ายต่ำกว่ารากฟันเทียม แต่ใช้ได้เฉพาะกรณีที่ฟันยังอยู่
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับรากฟันเทียม (FAQ)
ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี รากฟันเทียมสามารถทดแทนฟันธรรมชาติที่สูญเสียไปได้เป็นอย่างดี และให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติมากที่สุด การตัดสินใจเลือกรับการรักษาด้วยรากฟันเทียมควรพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยปรึกษาทันตแพทย์ที่มีประสบการณ์เพื่อประเมินสภาพช่องปาก วางแผนการรักษา และให้คำแนะนำที่เหมาะสมเฉพาะบุคคล ทั้งนี้ การดูแลรักษาสุขภาพช่องปากอย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ รวมถึงการติดตามการรักษากับทันตแพทย์อย่างต่อเนื่อง ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะช่วยรักษาสภาพและอายุการใช้งานของรากฟันเทียมให้ยาวนานยิ่งขึ้น