รากฟันเทียม คืออะไร? มีกี่ประเภท รวมทุกเรื่องต้องรู้ก่อนทำ

ปัญหาการสูญเสียฟันเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในหลายด้าน ไม่เพียงแต่ความสวยงามและบุคลิกภาพ แต่ยังรวมถึงความสามารถในการบดเคี้ยวอาหาร การออกเสียง และสุขภาพช่องปากโดยรวม รากฟันเทียมเป็นทางเลือกการรักษาที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย รากฟันเทียมสามารถทดแทนฟันธรรมชาติได้เป็นอย่างดี และให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติทั้งในด้านรูปลักษณ์และการใช้งาน

เลือกอ่านหัวข้อเกี่ยวกับรากฟันเทียม
  1. รากฟันเทียม คืออะไร?
  2. รากฟันเทียมทำมาจากอะไร
  3. ส่วนประกอบของรากฟันเทียม
  4. หลักการทำงานของรากฟันเทียม
  5. รากฟันเทียมเหมาะกับใคร
  6. ใครที่ไม่เหมาะจะทำรากฟันเทียม
  7. รากฟันเทียมช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง
  8. ข้อดีของการทำรากฟันเทียม
  9. ข้อเสียของการทำรากฟันเทียม
  10. ประเภทของรากฟันเทียม
  11. เปรียบเทียบระหว่าง รากฟันเทียม กับ สะพานฟัน, ฟันปลอมถอดได้ และ รักษารากฟัน แบบไหนดีกว่า
  12. เตรียมตัวอย่างไรก่อนไปทำรากฟันเทียม
  13. ขั้นตอนการทำรากฟันเทียม
  14. ระยะเวลาในการรักษา
  15. การปลูกกระดูกในการทำรากฟันเทียมคืออะไร?
  16. ใครที่ต้องปลูกกระดูกก่อนทำรากฟันเทียม?
  17. อาการหลังทำรากฟันเทียมที่อาจเกิดขึ้น
  18. การดูแลตัวเองหลังทำรากฟันเทียมเพื่อลดอาการ
  19. เมื่อใดควรไปพบทันตแพทย์
  20. ทำรากฟันเทียมที่ไหนดี?
  21. ตัวเลือกอื่นๆ นอกจากการทำรากฟันเทียม
  22. คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับรากฟันเทียม (FAQ)

รากฟันเทียม คือ อุปกรณ์ทางทันตกรรมที่ทำหน้าที่เป็นรากฟันจำลองฝังในกระดูกขากรรไกร เพื่อยึดครอบฟันหรือฟันปลอมให้อยู่กับที่อย่างมั่นคง ช่วยแก้ปัญหาการบดเคี้ยวอาหารและทดแทนฟันที่ขาดหายไปได้โดยไม่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน

วัสดุหลักที่ใช้ในการผลิตรากฟันเทียมคือ ไทเทเนียม (Titanium) และในบางกรณีอาจใช้วัสดุ เซอร์โคเนีย (Zirconia) ซึ่งแต่ละวัสดุมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ดังนี้

1. ไทเทเนียม (Titanium) เป็นวัสดุที่นิยมใช้มากที่สุดในการผลิตรากฟันเทียม เนื่องจากมีคุณสมบัติที่โดดเด่นหลายประการ ดังนี้

  • ความเข้ากันได้ทางชีวภาพ (Biocompatibility) ไทเทเนียมสามารถเข้ากันได้ดีกับเนื้อเยื่อของร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่ต่อต้านและยอมรับรากฟันเทียมได้ดี ส่งผลให้กระดูกสามารถยึดติดกับรากฟันเทียมได้อย่างแน่นหนาในกระบวนการที่เรียกว่า “ออสซีโออินทิเกรชั่น (Osseointegration)”
  • ความแข็งแรงและความทนทาน ไทเทเนียมมีความแข็งแรงสูง ทนทานต่อแรงบดเคี้ยว และไม่ผุกร่อน ทำให้รากฟันเทียมสามารถใช้งานได้ยาวนาน
  • น้ำหนักเบา ไทเทเนียมมีน้ำหนักเบา ทำให้ไม่รู้สึกหนักหรือรำคาญเมื่อนำไปใช้งาน
  • ต้านทานการกัดกร่อน ไทเทเนียมมีความต้านทานการกัดกร่อนสูง ทำให้ไม่เป็นสนิมหรือผุกร่อนจากสภาพแวดล้อมในช่องปาก

โดยทั่วไปแล้ว ไทเทเนียมที่ใช้ทำรากฟันเทียมมักอยู่ในรูปแบบของ ไทเทเนียมบริสุทธิ์ (Commercially Pure Titanium) หรือ ไทเทเนียมอัลลอย (Titanium Alloy) ซึ่งมีการปรับปรุงคุณสมบัติบางประการเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานมากยิ่งขึ้น

2. เซอร์โคเนีย (Zirconia) เป็นวัสดุเซรามิกที่มีสีขาวคล้ายฟันธรรมชาติ ทำให้มีความสวยงาม เหมาะสำหรับใช้ในบริเวณฟันหน้า หรือในผู้ป่วยที่ต้องการหลีกเลี่ยงการใช้วัสดุโลหะ

คุณสมบัติเด่นของเซอร์โคเนีย

  • ความสวยงาม มีสีขาวคล้ายฟันธรรมชาติ ทำให้ดูเป็นธรรมชาติเมื่ออยู่ในช่องปาก
  • ความแข็งแรงและความทนทาน มีความแข็งแรงและทนทานใกล้เคียงกับไทเทเนียม
  • ความเข้ากันได้ทางชีวภาพ มีความเข้ากันได้ทางชีวภาพที่ดีเช่นกัน

1. ส่วนรากฟันเทียม (Implant Body/Fixture) ส่วนนี้เป็นเสมือนรากฟันธรรมชาติ ทำหน้าที่ยึดติดกับกระดูกขากรรไกร

  • วัสดุ ส่วนใหญ่ทำจากไทเทเนียมบริสุทธิ์ (Commercially Pure Titanium) หรือไทเทเนียมอัลลอย (Titanium Alloy) เนื่องจากไทเทเนียมมีคุณสมบัติที่เข้ากันได้ดีกับเนื้อเยื่อของร่างกาย (Biocompatibility) มีความแข็งแรง ทนทานต่อการกัดกร่อน และน้ำหนักเบา นอกจากนี้ ยังมีการใช้เซอร์โคเนีย (Zirconia) ซึ่งเป็นวัสดุเซรามิกสีขาว ในกรณีที่ต้องการความสวยงามเป็นพิเศษ เช่น รากฟันเทียมบริเวณฟันหน้า
  • รูปร่างและขนาด มีหลากหลายรูปแบบ เช่น ทรงกระบอก ทรงเรียว ทรงสกรู และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางและความยาวแตกต่างกัน เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพกระดูกขากรรไกรและตำแหน่งของฟันที่สูญเสียไป ทันตแพทย์จะเลือกขนาดและรูปร่างที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย
  • พื้นผิว พื้นผิวของรากฟันเทียมมักถูกออกแบบให้มีลักษณะหยาบ หรือมีการเคลือบผิวด้วยสารต่างๆ เช่น ไฮดรอกซีอะพาไทต์ (Hydroxyapatite) เพื่อเพิ่มพื้นที่สัมผัสกับกระดูก และส่งเสริมการยึดติดของกระดูกกับรากฟันเทียม (Osseointegration) ให้ดียิ่งขึ้น
  • การออกแบบเกลียว เกลียวบนรากฟันเทียมมีบทบาทสำคัญในการยึดติดกับกระดูกและกระจายแรงบดเคี้ยว เกลียวที่แตกต่างกันมีผลต่อความมั่นคงของรากฟันเทียม
  • การเชื่อมต่อภายใน (Internal Connection) ส่วนบนของรากฟันเทียมที่ใช้เชื่อมต่อกับตัวยึด (Abutment) มีการออกแบบที่แตกต่างกัน เช่น แบบ Internal Hex, Internal Tri-Lobe หรือ Conical Connection ซึ่งมีผลต่อความแข็งแรงและความแม่นยำในการเชื่อมต่อ

2. ตัวยึด (Abutment) ส่วนนี้เชื่อมระหว่างรากฟันเทียมกับครอบฟัน ทำหน้าที่รองรับครอบฟันและถ่ายทอดแรงบดเคี้ยว

  • วัสดุ ทำจากวัสดุที่แข็งแรงและทนทาน เช่น ไทเทเนียม เซรามิก หรือเซอร์โคเนีย ซึ่งมีคุณสมบัติทางด้านความสวยงาม ความแข็งแรง และความทนทานที่แตกต่างกัน
  • รูปร่างและประเภท มีหลากหลายรูปร่างและประเภท เช่น
    • Stock Abutment เป็นตัวยึดสำเร็จรูป มีขนาดและรูปร่างมาตรฐาน
    • Custom Abutment เป็นตัวยึดที่ออกแบบเฉพาะบุคคล เพื่อให้เข้ากับรูปร่างของเหงือกและฟันข้างเคียงได้อย่างแม่นยำ มักใช้ในกรณีที่ต้องการความสวยงามเป็นพิเศษ หรือในกรณีที่ตำแหน่งของรากฟันเทียมไม่เหมาะสม
    • Angled Abutment เป็นตัวยึดที่มีมุมเอียง เพื่อแก้ไขกรณีที่รากฟันเทียมถูกฝังในมุมที่ไม่เหมาะสม
  • การยึดติด ยึดติดกับรากฟันเทียมด้วยสกรูขนาดเล็ก (Abutment Screw) ซึ่งต้องขันให้แน่นด้วยแรงที่เหมาะสม (Torque) ตามที่ผู้ผลิตกำหนด เพื่อป้องกันการคลายตัว
  • นอกจากเชื่อมต่อรากฟันเทียมกับครอบฟันแล้ว ตัวยึดยังมีบทบาทสำคัญในการกำหนดรูปร่างของเหงือกรอบๆ รากฟันเทียม ให้มีความสวยงามและเป็นธรรมชาติ

3. ครอบฟัน (Crown/Prosthesis) ส่วนที่มองเห็นได้ในช่องปาก มีลักษณะเหมือนฟันธรรมชาติ ทำหน้าที่บดเคี้ยวอาหาร

  • วัสดุ ทำจากวัสดุหลากหลาย เช่น เซรามิกล้วน (All-Ceramic/Porcelain), โลหะเคลือบเซรามิก (Porcelain-Fused-to-Metal/PFM) หรือ เซอร์โคเนีย (Zirconia)
  • การยึดติด ยึดติดกับตัวยึดด้วยซีเมนต์ทางทันตกรรม มีทั้งแบบยึดติดถาวรและแบบถอดได้ (Screw-retained)
  • การออกแบบ ครอบฟันจะถูกออกแบบให้มีรูปร่าง ขนาด สี และการสบฟันที่เหมาะสมกับฟันข้างเคียง เพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติและใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อรากฟันเทียมถูกฝังลงในกระดูกขากรรไกร จะเกิดกระบวนการ ออสซีโออินทิเกรชัน (Osseointegration) คือการที่กระดูกเชื่อมประสานเข้ากับพื้นผิวของรากฟันเทียมอย่างแนบสนิท ทำให้รากฟันเทียมยึดติดแน่นกับกระดูก สามารถรองรับแรงบดเคี้ยวได้เหมือนรากฟันแท้ โดยใช้เวลาในการผสานประมาณ 3-6 เดือน จึงจะใส่ครอบฟันได้

  • ผู้ที่สูญเสียฟันไป 1 ซี่ขึ้นไป ไม่ว่าจะจากสาเหตุใดก็ตาม
  • มีสภาพกระดูกขากรรไกรเพียงพอ หรือสามารถเสริมกระดูกได้
  • ไม่มีโรคประจำตัวรุนแรงที่เป็นอุปสรรคต่อการผ่าตัด
  • ไม่สูบบุหรี่จัด เพราะจะรบกวนการหายของแผล
  • ผู้ที่มีโรคเรื้อรังที่ยังควบคุมไม่ได้ดี เช่น เบาหวาน, โรคหัวใจ
  • ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังให้เคมีบำบัด
  • หญิงตั้งครรภ์ เพราะเอ็กซเรย์และยาชาอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์
  • เด็กที่กระดูกขากรรไกรยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่

รากฟันเทียมไม่ได้เป็นเพียงแค่การทดแทนฟันที่หายไปเพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่ยังช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ในช่องปากและส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวมอีกด้วย ดังนี้

  1. ทดแทนฟันที่สูญเสียไป นี่คือหน้าที่หลักของรากฟันเทียม ซึ่งช่วยทดแทนฟันธรรมชาติที่สูญเสียไปจากสาเหตุต่างๆ เช่น ฟันผุ โรคเหงือก อุบัติเหตุ หรือการถอนฟัน ทำให้ผู้ที่สูญเสียฟันกลับมามีฟันที่ใช้งานได้เหมือนเดิม
  2. แก้ปัญหาการบดเคี้ยวอาหาร การสูญเสียฟันส่งผลโดยตรงต่อการบดเคี้ยวอาหาร ทำให้เคี้ยวอาหารได้ไม่ละเอียด ส่งผลเสียต่อระบบย่อยอาหาร รากฟันเทียมช่วยให้สามารถบดเคี้ยวอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ได้รับสารอาหารครบถ้วนและลดปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร
  3. ป้องกันโอกาสเกิดฟันล้ม เมื่อสูญเสียฟันไป ฟันข้างเคียงมีแนวโน้มที่จะล้มเอียงหรือเคลื่อนที่เข้ามาในช่องว่าง ทำให้เกิดปัญหาการเรียงตัวของฟัน การสบฟันผิดปกติ และปัญหาอื่นๆ รากฟันเทียมช่วยรักษาระยะห่างระหว่างฟัน ทำให้ฟันข้างเคียงคงที่และป้องกันปัญหาที่จะตามมา
  4. ป้องกันการยุบตัวของกระดูกขากรรไกร เมื่อสูญเสียฟันไป กระดูกขากรรไกรบริเวณนั้นจะเริ่มยุบตัวลง เนื่องจากไม่มีรากฟันคอยกระตุ้น การฝังรากฟันเทียมจะช่วยกระตุ้นกระดูกขากรรไกร ทำให้กระดูกคงรูปอยู่ได้ ป้องกันการยุบตัวของกระดูก ซึ่งมีผลต่อรูปหน้าและโครงสร้างของใบหน้า
  5. เพิ่มความมั่นใจและบุคลิกภาพ การสูญเสียฟันโดยเฉพาะฟันหน้า ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจและบุคลิกภาพ รากฟันเทียมช่วยคืนรอยยิ้มที่สวยงามและความมั่นใจ ทำให้กล้าแสดงออกและใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข
  6. รองรับฟันปลอมรูปแบบต่างๆ นอกจากใช้ทดแทนฟันซี่เดียว รากฟันเทียมยังสามารถใช้รองรับฟันปลอมแบบติดแน่น เช่น สะพานฟัน หรือฟันปลอมแบบถอดได้ ทำให้ฟันปลอมมีความมั่นคงมากขึ้น ไม่เคลื่อนที่ขณะใช้งาน
  7. แก้ปัญหาการออกเสียงไม่ชัด การสูญเสียฟันบางซี่อาจส่งผลต่อการออกเสียงบางคำ รากฟันเทียมช่วยฟื้นฟูการออกเสียงให้ชัดเจนและเป็นธรรมชาติมากขึ้น
  • ความมั่นคงและใช้งานได้เหมือนฟันธรรมชาติ รากฟันเทียมยึดติดกับกระดูกขากรรไกรโดยตรง ทำให้มีความมั่นคงสูง สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ตามปกติ ให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ และไม่ขยับหรือหลุดเหมือนฟันปลอมถอดได้
  • รักษาสภาพฟันข้างเคียง การทำรากฟันเทียมไม่จำเป็นต้องกรอฟันซี่ข้างเคียงเหมือนกับการทำสะพานฟัน ทำให้ไม่ส่งผลเสียต่อฟันธรรมชาติ และรักษาสภาพฟันเดิมไว้ได้
  • ป้องกันการสูญเสียกระดูก เมื่อสูญเสียฟัน กระดูกบริเวณนั้นจะเริ่มยุบตัวลง การทำรากฟันเทียมจะช่วยกระตุ้นกระดูกขากรรไกร ทำให้กระดูกคงสภาพและป้องกันการยุบตัว ซึ่งมีผลต่อโครงสร้างใบหน้าในระยะยาว
  • ความสวยงามและความมั่นใจ รากฟันเทียมช่วยทดแทนฟันที่สูญเสียไป ทำให้ฟันเรียงตัวสวยงาม เพิ่มความมั่นใจในการยิ้มและพูด
  • สุขอนามัยช่องปากที่ดี รากฟันเทียมสามารถทำความสะอาดได้ง่ายเหมือนฟันธรรมชาติ ลดความเสี่ยงของฟันผุและโรคเหงือก
  • ใช้งานได้ยาวนาน หากดูแลรักษาอย่างเหมาะสม รากฟันเทียมสามารถใช้งานได้ยาวนานหลายปี หรือตลอดชีวิต
  • ปรับปรุงการออกเสียง การสูญเสียฟันอาจส่งผลต่อการออกเสียงบางคำ รากฟันเทียมช่วยแก้ไขปัญหาการออกเสียงให้ชัดเจนขึ้น
  • ใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ ได้ สามารถใช้รากฟันเทียมร่วมกับการรักษาอื่นๆ เช่น สะพานฟัน หรือฟันปลอมแบบติดแน่น เพื่อเพิ่มความมั่นคง
  • ค่าใช้จ่ายสูง การทำรากฟันเทียมมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ เช่น ฟันปลอมถอดได้ หรือสะพานฟัน
  • ระยะเวลารักษานาน การทำรากฟันเทียมต้องใช้เวลาหลายเดือน เนื่องจากต้องรอให้รากฟันเทียมยึดติดกับกระดูกขากรรไกร (กระบวนการออสซีโออินทิเกรชั่น)
  • ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อน แม้ว่ารากฟันเทียมจะเป็นวิธีการรักษาที่ปลอดภัย แต่ก็มีความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น
    • การติดเชื้อ บริเวณที่ผ่าตัดอาจมีการติดเชื้อได้ หากดูแลรักษาความสะอาดไม่ดี
    • การบาดเจ็บของเส้นประสาท ในบางกรณี อาจมีการบาดเจ็บของเส้นประสาทบริเวณใกล้เคียง ทำให้เกิดอาการชาหรือเจ็บ
    • การผสานกระดูกไม่สำเร็จ ในบางกรณี รากฟันเทียมอาจไม่สามารถผสานเข้ากับกระดูกได้ ซึ่งอาจต้องทำการผ่าตัดใหม่
    • ปัญหาเกี่ยวกับไซนัส ในกรณีที่ทำรากฟันเทียมบริเวณฟันกรามบน อาจมีปัญหาเกี่ยวกับไซนัสได้
  • ข้อจำกัดบางประการ การทำรากฟันเทียมอาจไม่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยบางราย เช่น ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ โรคกระดูกพรุน หรือผู้ที่สูบบุหรี่จัด รวมถึงผู้ที่มีปริมาณกระดูกขากรรไกรไม่เพียงพอ ซึ่งอาจต้องทำการปลูกกระดูกก่อน

1. แบ่งตามตำแหน่งของการทำรากฟันเทียม การแบ่งประเภทนี้พิจารณาจากตำแหน่งที่รากฟันเทียมถูกฝัง ซึ่งมีผลต่อเทคนิคและวิธีการรักษา รวมถึงความเหมาะสมกับสภาพกระดูกของผู้ป่วย

  • รากฟันเทียมชนิดฝังลงในกระดูก (Endosteal Implants) เป็นรากฟันเทียมที่นิยมใช้มากที่สุด โดยจะฝังลงในกระดูกขากรรไกรโดยตรง มีลักษณะคล้ายสกรูหรือน็อต ทำจากไทเทเนียม ซึ่งเข้ากันได้ดีกับเนื้อเยื่อของร่างกาย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปริมาณกระดูกขากรรไกรเพียงพอรองรับรากฟันเทียมได้ดี สามารถใช้ทดแทนฟันเดี่ยว ฟันหลายซี่ หรือฟันทั้งปาก
  • รากฟันเทียมชนิดวางอยู่เหนือกระดูก (Subperiosteal Implants) เป็นรากฟันเทียมที่วางอยู่บนกระดูกขากรรไกร แต่ใต้เยื่อหุ้มกระดูก (Periosteum) โครงสร้างของรากฟันเทียมชนิดนี้จะถูกออกแบบมาเฉพาะบุคคล โดยจะพิมพ์แบบจากกระดูกขากรรไกรของผู้ป่วย มักใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีปริมาณกระดูกขากรรไกรไม่เพียงพอสำหรับการฝังรากฟันเทียมแบบ Endosteal หรือในผู้ที่ไม่ต้องการปลูกกระดูก
  • รากฟันเทียมชนิดฝังลงในกระดูกโหนกแก้ม (Zygomatic Implants) เป็นรากฟันเทียมที่มีลักษณะยาวกว่ารากฟันเทียมทั่วไป ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีการสูญเสียกระดูกขากรรไกรบนอย่างรุนแรง ทำให้ไม่สามารถฝังรากฟันเทียมแบบ Endosteal ในตำแหน่งปกติได้ รากฟันเทียมชนิดนี้จะฝังเข้าไปในกระดูกโหนกแก้ม (Zygoma bone) ซึ่งมีความแข็งแรงและรองรับแรงบดเคี้ยวได้ดี เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการปลูกกระดูกเพิ่มเติม

2. แบ่งตามจำนวนรากฟันเทียมที่ใส่ในช่องปาก การแบ่งประเภทนี้พิจารณาจากจำนวนฟันที่ต้องการทดแทน และวิธีการรองรับฟันปลอมบนรากฟันเทียม

  • รากฟันเทียมเดี่ยว (Single Tooth Implant) ใช้ทดแทนฟันที่หายไปเพียงซี่เดียว โดยจะฝังรากฟันเทียมหนึ่งตัวและใส่ครอบฟันหนึ่งซี่ วิธีนี้จะช่วยรักษาสภาพของฟันข้างเคียงโดยไม่ต้องกรอฟันเพื่อทำสะพานฟัน
  • รากฟันเทียมหลายซี่ (Multiple Implants/Implant-Supported Bridge) ใช้ทดแทนฟันที่หายไปหลายซี่ที่อยู่ติดกัน โดยจะฝังรากฟันเทียมจำนวนหนึ่งเพื่อรองรับสะพานฟัน ซึ่งจะครอบคลุมฟันที่หายไปหลายซี่ จำนวนรากฟันเทียมที่ใช้จะขึ้นอยู่กับจำนวนฟันที่หายไปและตำแหน่งของฟัน
  • รากฟันเทียมทั้งปาก (Full Arch Implants/All-on-4/All-on-6) ใช้ทดแทนฟันทั้งขากรรไกรบนหรือล่าง โดยจะฝังรากฟันเทียมจำนวนหนึ่ง (เช่น 4 หรือ 6 ตัว ในเทคนิค All-on-4 หรือ All-on-6) เพื่อรองรับฟันปลอมทั้งชุด วิธีนี้เป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีความมั่นคง ให้ความรู้สึกใกล้เคียงฟันธรรมชาติ และลดระยะเวลาในการรักษาเมื่อเทียบกับการฝังรากฟันเทียมทดแทนทุกซี่

3. แบ่งตามระยะเวลาที่ใช้ในการทำรากฟันเทียม การแบ่งประเภทนี้พิจารณาจากระยะเวลาตั้งแต่การฝังรากฟันเทียมจนถึงการใส่ครอบฟันหรือฟันปลอม

  • การฝังรากฟันเทียมแบบดั้งเดิม (Conventional Implant/Delayed Loading) เป็นวิธีที่ใช้กันมาอย่างยาวนาน โดยจะมีการรอระยะเวลาประมาณ 2-6 เดือน หลังจากการฝังรากฟันเทียม เพื่อให้กระดูกยึดติดกับรากฟันเทียมอย่างสมบูรณ์ (Osseointegration) ก่อนที่จะใส่ตัวยึดและครอบฟัน วิธีนี้มีอัตราความสำเร็จสูง แต่ต้องใช้เวลานาน
  • การฝังรากฟันเทียมทันทีหลังถอนฟัน (Immediate Implant/Immediate Placement) เป็นการใส่รากฟันเทียมทันทีหลังจากถอนฟัน ซึ่งช่วยลดระยะเวลาในการรักษา และลดการยุบตัวของกระดูกหลังการถอนฟัน แต่ต้องมีสภาพกระดูกและเหงือกที่เหมาะสม
  • รากฟันเทียมในหนึ่งวัน (Immediate Loaded Implant/Same Day Teeth) เป็นการใส่รากฟันเทียมและครอบฟันชั่วคราวหรือถาวรในวันเดียวกันหรือภายในระยะเวลาอันสั้นหลังจากการฝังรากฟันเทียม วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีสภาพกระดูกที่ดีและมีแรงบิดที่เพียงพอต่อการรองรับครอบฟันทันที ช่วยลดระยะเวลาในการรักษา และให้ผู้ป่วยมีฟันใช้งานได้ทันที แต่ต้องได้รับการประเมินโดยทันตแพทย์อย่างละเอียดก่อน

การแบ่งประเภทเหล่านี้จะช่วยให้เข้าใจภาพรวมของรากฟันเทียมได้ดียิ่งขึ้น การเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุด ควรปรึกษาทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล

คุณลักษณะรากฟันเทียมสะพานฟันฟันปลอมถอดได้การรักษารากฟัน
หลักการฝังรากเทียมลงในกระดูกขากรรไกรยึดฟันปลอมกับฟันข้างเคียงโดยการกรอฟันใส่ฟันปลอมบนเหงือกรักษาโพรงประสาทฟันเพื่อเก็บฟันธรรมชาติไว้
ความมั่นคงสูงมากปานกลางน้อย(ขึ้นอยู่กับสภาพฟัน)
ความสะดวกสบายสูงมากปานกลางน้อย (ต้องถอดเข้าถอดออก)สูง
การดูแลรักษาง่าย (เหมือนฟันธรรมชาติ)ปานกลาง (ทำความสะอาดยากบริเวณใต้สะพานฟัน)ปานกลาง (ต้องถอดออกมาทำความสะอาด)ง่าย (เหมือนฟันธรรมชาติ)
ผลกระทบต่อฟันอื่นๆไม่กระทบต้องกรอฟันข้างเคียงอาจทำให้กระดูกขากรรไกรยุบตัวในระยะยาวไม่กระทบ
ค่าใช้จ่ายสูงปานกลางต่ำต่ำกว่ารากฟันเทียม
ระยะเวลารักษานาน (หลายเดือน)ปานกลาง (ไม่กี่สัปดาห์)สั้น (ไม่กี่วัน)สั้น (ไม่กี่ครั้ง)
อายุการใช้งานยาวนาน (หลายปีหรือตลอดชีวิต หากดูแลดี)ปานกลาง (5-10 ปี)ปานกลาง (5-10 ปี)(ขึ้นอยู่กับสภาพฟัน)
ความเหมาะสมผู้ที่ต้องการความมั่นคงและใช้งานได้ยาวนานผู้ที่มีงบประมาณจำกัดและฟันข้างเคียงแข็งแรงผู้ที่มีงบประมาณจำกัดหรือข้อจำกัดอื่นๆผู้ที่มีฟันที่ยังสามารถรักษาได้
  1. ปรึกษาแพทย์และทันตแพทย์ ขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุด คือการปรึกษาแพทย์ประจำตัวเพื่อประเมินสุขภาพโดยรวม และปรึกษาทันตแพทย์เฉพาะทางด้านรากฟันเทียม เพื่อประเมินสภาพช่องปาก วางแผนการรักษา และรับคำแนะนำที่เหมาะสม การปรึกษาแพทย์จะช่วยให้ทราบถึงโรคประจำตัว ยาที่รับประทาน และความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น การปรึกษาทันตแพทย์จะช่วยประเมินสภาพกระดูก สุขภาพเหงือก และความเหมาะสมในการทำรากฟันเทียม รวมถึงวางแผนการรักษา เช่น การปลูกกระดูก หากจำเป็น
  2. แจ้งประวัติการแพ้ยา แจ้งประวัติการแพ้ยาหรือสารเคมีทุกชนิดให้ทันตแพทย์ทราบ เพื่อป้องกันการแพ้ยาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างหรือหลังการผ่าตัด การแพ้ยาอาจทำให้เกิดอาการแพ้ต่างๆ เช่น ผื่นคัน บวม หรือหายใจลำบาก ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้
  3. งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ควร งดสูบบุหรี่อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ก่อนและหลังการผ่าตัด เนื่องจาก การสูบบุหรี่ส่งผลเสียต่อการไหลเวียนโลหิต ทำให้การผสานของรากฟันเทียมกับกระดูกไม่ดี และเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ควรงดอย่างน้อย 1-2 วันก่อนผ่าตัด เนื่องจากอาจมีปฏิกิริยากับยาที่ใช้ หรือส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด
  4. ดูแลความสะอาดช่องปากอย่างเคร่งครัด แปรงฟันอย่างน้อยวันละสองครั้ง ใช้ไหมขัดฟันทุกวัน และบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก การดูแลความสะอาดช่องปากที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อหลังการผ่าตัด และส่งผลดีต่อการผสานของรากฟันเทียมกับกระดูก หากมีปัญหาในช่องปาก เช่น ฟันผุ หรือโรคเหงือก ควรทำการรักษาก่อนการทำรากฟันเทียม เพื่อป้องกันการลุกลามของการติดเชื้อ
  5. ทำความเข้าใจขั้นตอนการรักษาและพักผ่อนให้เพียงพอ สอบถามทันตแพทย์เกี่ยวกับขั้นตอนการทำรากฟันเทียมอย่างละเอียด เพื่อลดความกังวลและความกลัว การทราบขั้นตอนการรักษาจะช่วยให้เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น และลดความกังวลที่ไม่จำเป็น ก่อนวันผ่าตัด ควรพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายพร้อมสำหรับการรักษา การพักผ่อนที่เพียงพอจะช่วยลดความเครียดและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
  6. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และเตรียมอาหารอ่อน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และให้พลังงานเพียงพอก่อนวันผ่าตัด แต่หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด เผ็ดจัด หรืออาหารที่อาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย ร่างกายที่แข็งแรงจะช่วยให้การฟื้นตัวหลังการผ่าตัดเป็นไปได้ด้วยดี ควรเตรียมอาหารอ่อนๆ เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม หรือซุป ไว้สำหรับรับประทานหลังการผ่าตัดในช่วงแรก เนื่องจากในช่วงแรกหลังการผ่าตัด อาจมีอาการเจ็บหรือบวม ทำให้รับประทานอาหารลำบาก
  7. ทำความสะอาดช่องปากก่อนมาพบทันตแพทย์ แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันให้สะอาดก่อนมาพบทันตแพทย์

การทำรากฟันเทียมเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี โดยทั่วไปแล้ว แบ่งออกเป็นขั้นตอนต่างๆ ดังนี้

  1. การตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษา
    • การตรวจสุขภาพช่องปาก ทันตแพทย์จะทำการตรวจสุขภาพช่องปากอย่างละเอียด ตรวจดูฟัน เหงือก กระดูกขากรรไกร และประเมินความเหมาะสมในการทำรากฟันเทียม
    • การถ่ายภาพรังสี มีการถ่ายภาพรังสีแบบต่างๆ เช่น ภาพเอ็กซ์เรย์ทั่วไป ภาพพาโนรามา (Panoramic X-ray) หรือภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบ 3 มิติ (CBCT หรือ CT Scan) เพื่อดูรายละเอียดของกระดูกขากรรไกร และประเมินปริมาณและคุณภาพของกระดูก
    • การพิมพ์ปาก อาจมีการพิมพ์ปากเพื่อทำแบบจำลองฟัน เพื่อใช้ในการวางแผนการรักษาและการผลิตครอบฟัน
    • การวางแผนการรักษา ทันตแพทย์จะวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย โดยพิจารณาจากสภาพช่องปาก สุขภาพโดยรวม และความต้องการของผู้ป่วย
  2. การผ่าตัดฝังรากฟันเทียม
    • การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด ทันตแพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเตรียมตัวก่อนผ่าตัด เช่น การงดยาบางชนิด การงดสูบบุหรี่ และการดูแลความสะอาดช่องปาก
    • การผ่าตัด ทันตแพทย์จะทำการผ่าตัดเล็กเพื่อฝังรากฟันเทียมลงในกระดูกขากรรไกร โดยใช้วัสดุไทเทเนียมที่มีความเข้ากันได้ดีกับเนื้อเยื่อ ขั้นตอนนี้มักทำภายใต้การใช้ยาชาเฉพาะที่
    • การปิดแผล หลังจากฝังรากฟันเทียมแล้ว ทันตแพทย์จะทำการเย็บปิดแผล
  3. ระยะเวลาการผสานกระดูก (Osseointegration)
    • การรอรากฟันเทียมยึดติดกับกระดูก หลังจากผ่าตัดฝังรากฟันเทียมแล้ว จะต้องใช้เวลาระยะหนึ่งเพื่อให้กระดูกขากรรไกรผสานเข้ากับรากฟันเทียมอย่างสมบูรณ์ กระบวนการนี้เรียกว่า ออสซีโออินทิเกรชั่น (Osseointegration) โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 2-6 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพกระดูกของผู้ป่วยแต่ละราย
  4. การใส่ส่วนประกอบบนรากฟันเทียม (Abutment Placement)
    • การเปิดเหงือก (ถ้าจำเป็น) ในบางกรณี หากรากฟันเทียมถูกฝังแบบปิดเหงือก (ฝังใต้เหงือก) ทันตแพทย์จะต้องทำการผ่าตัดเล็กอีกครั้งเพื่อเปิดเหงือกและใส่ส่วนประกอบที่เรียกว่า อะบัทเมนต์ (Abutment) ซึ่งเป็นส่วนที่เชื่อมระหว่างรากฟันเทียมและครอบฟัน
    • การใส่ Abutment ทันตแพทย์จะทำการใส่ Abutment ลงบนรากฟันเทียม
  5. การทำและการใส่ครอบฟัน
    • การพิมพ์ปาก ทันตแพทย์จะทำการพิมพ์ปากอีกครั้ง เพื่อส่งไปยังห้องปฏิบัติการทันตกรรมเพื่อผลิตครอบฟัน
    • การทำครอบฟัน ในห้องปฏิบัติการทันตกรรม ช่างทันตกรรมจะทำครอบฟันให้มีรูปร่าง สี และขนาดที่เหมาะสมกับฟันซี่อื่นๆ และเข้ากับช่องปากของผู้ป่วย
    • การใส่ครอบฟัน เมื่อครอบฟันเสร็จ ทันตแพทย์จะทำการยึดครอบฟันเข้ากับ Abutment อย่างถาวร

ระยะเวลาในการทำรากฟันเทียมทั้งหมด ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น สภาพกระดูกของผู้ป่วย จำนวนรากฟันเทียมที่ทำ และวิธีการรักษา โดยทั่วไปอาจใช้เวลาตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 1 ปี หรือมากกว่า

การปลูกกระดูกฟัน หรือการเสริมกระดูก เป็นกระบวนการทางทันตกรรมที่ใช้ในการเพิ่มปริมาณกระดูกขากรรไกร เพื่อให้มีปริมาณกระดูกเพียงพอต่อการรองรับรากฟันเทียม การทำรากฟันเทียมจำเป็นต้องมีกระดูกขากรรไกรที่แข็งแรงและมีปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้รากฟันเทียมสามารถยึดติดได้อย่างมั่นคงและใช้งานได้อย่างยาวนาน หากกระดูกขากรรไกรไม่เพียงพอหรือไม่แข็งแรง การทำรากฟันเทียมอาจไม่สำเร็จหรือใช้งานได้ไม่นาน

  • ผู้ที่สูญเสียฟันมาเป็นเวลานาน
  • ผู้ที่เคยเป็นโรคปริทันต์
  • ผู้ที่กระดูกขากรรไกรบางโดยธรรมชาติ
  • ผู้ที่ใส่ฟันปลอมแบบถอดได้มาเป็นเวลานาน

วัสดุที่ใช้ในการปลูกกระดูกมีหลายประเภท ได้แก่

  • กระดูกจากร่างกายของผู้ป่วยเอง (Autograft) มักนำมาจากบริเวณอื่น เช่น ขากรรไกร กราม หรือสะโพก ถือเป็นวัสดุที่ดีที่สุด เพราะมีความเข้ากันได้ดีกับร่างกาย
  • กระดูกจากผู้อื่น (Allograft) เป็นกระดูกที่ได้รับบริจาคและผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อแล้ว
  • กระดูกจากสัตว์ (Xenograft) มักใช้กระดูกวัวที่ผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์
  • วัสดุสังเคราะห์ (Alloplast) เป็นวัสดุที่สร้างขึ้นจากสารเคมี เช่น ไฮดรอกซีอะพาไทต์ (Hydroxyapatite) หรือไตรแคลเซียมฟอสเฟต (Tricalcium phosphate)

การปลูกกระดูกเป็นขั้นตอนที่สำคัญสำหรับผู้ที่มีปริมาณกระดูกขากรรไกรไม่เพียงพอต่อการทำรากฟันเทียม หลังปลูกกระดูกต้องใช้เวลาประมาณ 3-9 เดือนเพื่อให้กระดูกใหม่สร้างตัวและผสานกับกระดูกเดิม ก่อนที่จะสามารถทำรากฟันเทียมได้ ในบางกรณีสามารถปลูกกระดูกไปพร้อมๆ กับการทำรากฟันเทียมได้ โดยขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์

หลังการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม ผู้ป่วยอาจพบกับอาการต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาการปกติและจะค่อยๆ ดีขึ้นภายในไม่กี่วัน แต่ก็มีบางอาการที่ควรได้รับการดูแลจากทันตแพทย์อย่างใกล้ชิด อาการที่อาจเกิดขึ้นมีดังนี้

  • อาการปวด อาการปวดเป็นเรื่องปกติหลังการผ่าตัด โดยความรุนแรงของอาการปวดจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ทันตแพทย์มักจะสั่งยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการ ผู้ป่วยควรรับประทานยาตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด หากอาการปวดไม่ดีขึ้น หรือปวดมากขึ้น ควรกลับไปพบทันตแพทย์
  • อาการบวม บริเวณที่ทำการผ่าตัดอาจมีอาการบวม ซึ่งเป็นปฏิกิริยาปกติของร่างกายต่อการผ่าตัด อาการบวมมักจะมากที่สุดในช่วง 2-3 วันแรก และจะค่อยๆ ลดลงภายใน 1 สัปดาห์ การประคบเย็นบริเวณแก้มในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกหลังการผ่าตัด จะช่วยลดอาการบวมได้ การประคบอุ่นหลังจากนั้นจะช่วยลดอาการฟกช้ำได้
  • เลือดออกเล็กน้อย อาจมีเลือดออกเล็กน้อยบริเวณแผลผ่าตัดในวันแรกหลังการผ่าตัด ถือเป็นเรื่องปกติ สามารถใช้ผ้าก๊อซสะอาดกัดไว้บริเวณแผลประมาณ 15-30 นาที เพื่อช่วยห้ามเลือด หากมีเลือดออกมากผิดปกติ หรือเลือดออกไม่หยุด ควรปรึกษาทันตแพทย์
  • รอยช้ำ อาจมีรอยช้ำบริเวณแก้มหรือใต้ตา ซึ่งเป็นผลมาจากการผ่าตัด รอยช้ำนี้จะค่อยๆ จางหายไปภายใน 1-2 สัปดาห์
  • รู้สึกตึงหรือเจ็บที่ขากรรไกร อาจรู้สึกตึงหรือเจ็บที่ขากรรไกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออ้าปากกว้าง ซึ่งเป็นผลมาจากการผ่าตัด การพักผ่อนและหลีกเลี่ยงการอ้าปากกว้างมากเกินไปในช่วงแรก จะช่วยลดอาการนี้ได้
  • การติดเชื้อ การติดเชื้อเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้น้อย แต่ควรระมัดระวัง หากมีอาการปวด บวม แดง หรือมีหนองบริเวณแผลผ่าตัด หรือมีไข้ ควรกลับไปพบทันตแพทย์ทันทีเพื่อรับการรักษา
  • อาการชา ในบางกรณี อาจมีอาการชาบริเวณริมฝีปาก คาง หรือเหงือก ซึ่งมักเกิดจากการกระทบกระเทือนของเส้นประสาทระหว่างการผ่าตัด อาการชานี้มักจะหายไปเองภายในไม่กี่สัปดาห์หรือหลายเดือน แต่ในบางกรณีอาจต้องใช้เวลานานกว่านั้น
  • ประคบเย็น-ประคบอุ่น ประคบเย็นบริเวณแก้มในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกหลังการผ่าตัด เพื่อลดอาการบวม หลังจากนั้นให้ประคบอุ่น เพื่อลดอาการฟกช้ำ
  • รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง รับประทานยาแก้ปวด ยาปฏิชีวนะ หรือยาอื่นๆ ตามที่ทันตแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
  • พักผ่อนให้เพียงพอ พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็ว
  • รับประทานอาหารอ่อน ในช่วงแรกหลังการผ่าตัด ควรรับประทานอาหารอ่อนๆ เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม หรือซุป เพื่อหลีกเลี่ยงการเคี้ยวอาหารที่แข็งหรือเหนียว ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองบริเวณแผล
  • หลีกเลี่ยงการบ้วนปากแรงๆ หลีกเลี่ยงการบ้วนปากแรงๆ ในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังการผ่าตัด ควรบ้วนปากเบาๆ ด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ
  • รักษาความสะอาดช่องปาก รักษาความสะอาดช่องปากอย่างดี โดยแปรงฟันเบาๆ และใช้ไหมขัดฟันตามปกติ แต่หลีกเลี่ยงบริเวณแผลผ่าตัดโดยตรง
  • งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ควรงดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้แผลหายช้าและเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก ในช่วง 2-3 วันแรกหลังการผ่าตัด ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก
  • อาการปวด บวม หรือเลือดออกมากขึ้น หรือไม่ดีขึ้นภายในไม่กี่วัน
  • มีอาการของการติดเชื้อ เช่น มีหนองบริเวณแผลผ่าตัด หรือมีไข้
  • มีอาการชาที่ไม่หายไป
  • มีอาการผิดปกติอื่นๆ ที่น่าสงสัย

การเลือกว่าจะทำรากฟันเทียมที่ไหนดี เป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะมีผลต่อความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และผลลัพธ์ของการรักษา มีปัจจัยหลายประการที่ควรนำมาพิจารณา ดังนี้

  1. ปรึกษาทันตแพทย์โดยตรง ควรเลือกทันตแพทย์ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการทำรากฟันเทียมโดยเฉพาะ ควรตรวจสอบประวัติการศึกษา การฝึกอบรม และจำนวนเคสที่เคยทำ
  2. คลินิกหรือโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐาน คลินิกหรือโรงพยาบาลควรมีระบบการควบคุมความสะอาดและปลอดเชื้อที่ดี เพื่อป้องกันการติดเชื้อหลังการผ่าตัด มีอุปกรณ์และเครื่องมือที่ทันสมัย เช่น เครื่องเอกซเรย์ 3 มิติ (CBCT) เครื่องมือผ่าตัดที่แม่นยำ และวัสดุรากฟันเทียมที่มีคุณภาพ
  3. วัสดุรากฟันเทียม ควรเลือกใช้วัสดุรากฟันเทียมที่มีคุณภาพและได้รับการยอมรับในระดับสากล มีงานวิจัยรองรับ และมีประวัติการใช้งานที่ยาวนาน และตรวจสอบแหล่งที่มาของวัสดุรากฟันเทียม เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นของแท้และมีคุณภาพ
  4. ราคาที่สมเหตุสมผล ควรเปรียบเทียบราคาและบริการของแต่ละคลินิกหรือโรงพยาบาล โดยคำนึงถึงคุณภาพของวัสดุ ประสบการณ์ของทันตแพทย์ และมาตรฐานของคลินิกหรือโรงพยาบาล
  5. การบริการและบรรยากาศที่เป็นมิตร การให้คำปรึกษาที่ละเอียดและเข้าใจง่ายจากทันตแพทย์ การบริการที่ดีและเป็นกันเองจากเจ้าหน้าที่ บรรยากาศที่สะอาด สะดวกสบาย และผ่อนคลาย
  6. รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง สอบถามประสบการณ์จากผู้ที่เคยใช้บริการคลินิกหรือโรงพยาบาลนั้นๆ หรือรีวิวออนไลน์จากเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจ
  7. ที่ตั้งสะดวกต่อการเดินทาง กคลินิกหรือโรงพยาบาลตั้งอยู่ในที่ที่สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกและมีที่จอดรถ หากต้องไปติดตามผลการรักษาหลายครั้ง การเลือกสถานที่ใกล้บ้านหรือที่ทำงานจะช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย

ตัวเลือกอื่นๆ นอกจากการทำรากฟันเทียม

  • สะพานฟัน เป็นการทดแทนฟันที่สูญเสียไปโดยการยึดฟันปลอมเข้ากับฟันธรรมชาติซี่ข้างเคียงโดยการกรอฟันซี่นั้น ค่าใช้จ่ายต่ำกว่ารากฟันเทียมและใช้เวลารักษาน้อยกว่า แต่ต้องกรอฟันธรรมชาติและทำความสะอาดยาก
  • ฟันปลอมถอดได้ เป็นการใส่ฟันปลอมบนเหงือกโดยไม่มีการฝังรากเทียม ค่าใช้จ่ายต่ำ ทำได้ง่ายและรวดเร็ว แต่มีความมั่นคงน้อยและอาจรู้สึกไม่สบาย
  • การรักษารากฟัน เป็นการรักษาฟันที่ยังมีอยู่แต่มีปัญหาที่โพรงประสาทฟัน เพื่อเก็บฟันธรรมชาติไว้ได้ ค่าใช้จ่ายต่ำกว่ารากฟันเทียม แต่ใช้ได้เฉพาะกรณีที่ฟันยังอยู่

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับรากฟันเทียม (FAQ)

ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี รากฟันเทียมสามารถทดแทนฟันธรรมชาติที่สูญเสียไปได้เป็นอย่างดี และให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติมากที่สุด การตัดสินใจเลือกรับการรักษาด้วยรากฟันเทียมควรพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยปรึกษาทันตแพทย์ที่มีประสบการณ์เพื่อประเมินสภาพช่องปาก วางแผนการรักษา และให้คำแนะนำที่เหมาะสมเฉพาะบุคคล ทั้งนี้ การดูแลรักษาสุขภาพช่องปากอย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ รวมถึงการติดตามการรักษากับทันตแพทย์อย่างต่อเนื่อง ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะช่วยรักษาสภาพและอายุการใช้งานของรากฟันเทียมให้ยาวนานยิ่งขึ้น

Scroll to Top